|
เรื่อง - ภาพ : นาธัส แสงสุริยะ |
Thursday, 30 May, 2013 12:39 PM |
|
 |
|
|
|
ฮุนได Veloster สปอร์ตแฮทช์แบ็กแนวคิดใหม่ เปิดตัวในเมืองไทย ไปเมื่อช่วงกลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมา แหวกแนวด้วยการจัดงานบนรันเวย์สนามบิน ทำตลาดด้วย 2 รุ่นหลัก คือ Veloster เครื่องยนต์ 1,600 ซีซี 130 แรงม้า และ Veloster Sport Turbo เครื่องยนต์ 1,600 ซีซี เทอร์โบ 186 แรงม้า ซึ่งเป็นรุ่นที่ทีมงาน มอเตอร์ทริเวีย มีโอกาสได้ทดลองขับ ทั้งการใช้งานในเมืองและเดินทางไกล รวมทั้งทดสอบอัตราเร่งและวัดอัตราสิ้นเปลืองเมื่อขับทางไกลด้วยความเร็วคงที่
ลองมาดูกันว่าสปอร์ตแนวคิดใหม่รูปทรงล้ำยุคคันนี้ จะให้ความสะดวกสบายได้แค่ไหน การตอบสนองของเครื่องยนต์เทอร์โบจะเป็นอย่างไร และจะกินน้ำมันมากน้อยแค่ไหน |
|
 |
|
แฮทช์แบ็ก 2+1 ประตู สะดวก+สปอร์ต
เพื่อให้ผู้ขับสัมผัสกับความสปอร์ตได้อย่างเต็มที่ ประตูฝั่งผู้ขับของ Veloster จึงเป็นแบบบานเดี่ยวขนาดใหญ่ ส่วนประตูฝั่งผู้โดยสารมี 2 ประตูหน้า/หลัง สำหรับเมืองไทยใช้รถพวงมาลัยขวาและขับชิดซ้าย ประตูฝั่งขวาจึงเป็นบานเดี่ยว และฝั่งซ้ายมี 2 ประตู เมื่อจอดชิดขอบทางด้านซ้าย ถ้ามีผู้โดยสารด้านหลังก็จะขึ้น-ลงได้อย่างสะดวกและปลอดภัย ถ้าเป็นรถพวงมาลัยซ้ายและขับชิดขวาก็จะกลับกัน โดยประตูผู้ขับฝั่งซ้ายเป็นบานเดี่ยว ส่วนฝั่งขวามีประตูหน้าและหลัง
จากการออกแบบที่แตกต่างนี้เอง ทำให้ต้องแยกการผลิตโครงสร้างตัวถังสำหรับรถพวงมาลัยซ้ายและขวา เพราะตำแหน่งของเสากลาง 2 ฝั่งที่เหลื่อมกัน ทำให้รุ่นพวงมาลัยซ้ายและขวาใช้โครงสร้างร่วมกันไม่ได้ ส่วนกระจกประตูเป็นแบบมีกรอบเหมือนรถซีดาน อาจดูสปอร์ตน้อยไปนิด แต่ก็คุ้มค่าเมื่อแลกกับความแข็งแรงทนทานของตัวถัง และการเก็บเสียงที่ดีกว่าในระยะยาว ประตูหลังที่มีเฉพาะฝั่งซ้าย ออกแบบที่เปิดประตูให้ซ่อนไว้อย่างแนบเนียน ดูเผินๆ เหมือนรถ 2 ประตู จึงไม่สะดุดอารมณ์ความเป็นสปอร์ต มิติตัวถังมีความยาว 4,250 มิลลิเมตร กว้าง 1,790 มิลลิเมตร สูง 1,399 มิลลิเมตร ฐานล้อ 2,650 มิลลิเมตร น้ำหนัก 1,353 กิโลกรัม |
|
 |
|
ภายในฮุนไดสไตล์
จากแนวคิดในการออกแบบ Fluidic Sculpture ซึ่งเป็นแนวทางการดีไซน์รถยุคใหม่ของ ฮุนได และกลายเป็นเอกลักษณ์ของ ฮุนได ไปแล้ว เมื่อเข้ามานั่งใน Veloster จึงพบกับบรรยากาศความเป็น ฮุนได ในทุกจุด ประกอบด้วยเส้นสายที่เฉียบคมและลื่นไหลต่อเนื่อง การจัดวางสวิตช์ควบคุมระบบต่างๆ ดูสะอาดตาและมีสไตล์ แม้จะมีการใช้พลาสติกแข็งในหลายชิ้นส่วน แต่ก็ออกแบบได้ดูดี ที่น่าสนใจคือ การติดตั้งอุปกรณ์มาตรฐานมาอย่างครบครัน (ดูในตารางท้ายเรื่อง) โดยมีไฮไลต์อยู่ที่หลังคากระจก Panoramic Sunroof หลังคากระจกพร้อมซันรูฟไฟฟ้า
เบาะผู้ขับปรับไฟฟ้าเฉพาะการเลื่อนเดินหน้า-ถอยหลัง กระดกเบาะนั่ง และที่ดันหลังไฟฟ้า ส่วนการปรับความเอนของพนักพิงยังเป็นระบบกลไก เดาว่าน่าจะเพราะต้องมีระบบกลไกพับพนักพิงเบาะผู้ขับ กรณีมีผู้โดยสารด้านหลังเข้า-ออกทางฝั่งผู้ขับ ซึ่งจริงๆ ผู้โดยสารด้านหลังฝั่งผู้ขับก็สามารถขยับไปออกทางประตูบานหลังฝั่งซ้ายได้ และน่าจะสะดวกรวดเร็วกว่าการพับพนักพิงเบาะผู้ขับ |
|
 |
|
เบาะหลังเป็นแบบ 2 ที่นั่ง ตรงกลางนั่งเป็นที่วางของจุกจิกและที่วางแก้วน้ำ ลองนั่งเบาะหลังแล้วที่วางขาเหลือเฟือสำหรับความสูง 170 เซนติเมตร ส่วนพื้นที่เหนือศีรษะเฉียดฉิวด้วยแนวหลังคาที่ลาดลง จนต้องมีคำเตือนบริเวณที่ปิดฝากระโปรงท้ายว่า 'เวลาปิดให้ระวังกระแทกศีรษะผู้โดยสารด้านหลัง'
เมื่อนั่งอยู่หลังพวงมาลัยจะให้ทั้งความสปอร์ตและสะดวกสบาย ทัศนวิสัยรอบคันอยู่ในเกณฑ์ดีสำหรับรถประเภทนี้ ด้านหลังมองได้ปลอดโปร่งพอสมควรเพราะเป็นกระจกทั้งชิ้น ถ้าเลือกได้ขอตัดระบบอุ่นเบาะแบบปรับระดับความอุ่นออกไป แล้วแทนที่ด้วยกล้องมองหลังจะดีว่า แม้มีเซ็นเซอร์กะระยะขณะถอย แต่ถ้าได้กล้องอีกอย่างจะมั่นใจยิ่งขึ้น พวงมาลัยสปอร์ตหุ้มหนังวงอวบจับกระชับ เป็นแบบมัลติฟังก์ชั่น ควบคุมเครื่องเสียง, ระบบโทรศัพท์, ครูสคอนโทรล และควบคุมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับในชุดมาตรวัด และมี Paddle Shift สำหรับควบคุมการเปลี่ยนเกียร์เมื่อใช้โหมด DS |
|
 |
|
1.6 เทอร์โบ แรงได้ใจ ประหยัดพอตัว
Veloster Sport Turbo ใช้เครื่องยนต์ Gamma 1.6 T-GDI รหัส G4FJ เบนซินไดเร็คอินเจ็คชั่น GDI มีระบบแปรผันวาล์วคู่ทั้งไอดีและไอเสีย D-CVVT พร้อมระบบอัดอากาศแบบเทอร์โบ Twin Scroll และอินเตอร์คูลเลอร์ ปรับบูสต์ไว้ที่ 18 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว หรือประมาณ 1.2 บาร์ จึงไม่ใช่ Light Turbo ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้เครื่องยนต์อีกเพียงเล็กน้อย แต่เป็นเทอร์โบที่จริงจัง สามารถรีดกำลังจากเครื่องยนต์ 4 สูบ 1,600 ซีซี ได้ถึง 186 แรงม้า ที่ 5,500 รอบต่อนาที และแรงบิด 27.0 กก.-ม. ที่มาแบบ Flat Torque ระหว่าง 1,500 - 4,500 รอบต่อนาที ผ่านมาตรฐานไอเสีย Euro 5 ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะพร้อมโหมด +/-
แม้จะเป็นเครื่องยนต์เทอร์โบที่มีสมรรถนะค่อนข้างสูง แต่ก็มีการทำงานที่ราบเรียบนุ่มนวล และเมื่อจับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ Veloster Sport Turbo จึงเป็นรถสปอร์ตที่ใช้งานได้ทุกวันเมื่อถนนว่าง นึกสนุกก็แค่กดคันเร่งลงไปอัตราเร่งก็จะมาแบบทันใจ ทั้งการคิ๊กดาวน์หรือค่อยๆ กดคันเร่งไล่รอบในเกียร์เดิม จากการทดลองขับใช้งานในเมืองพบว่าไม่ต่างจากรถทั่วไปมากนัก อัตราสิ้นเปลืองอยู่ระหว่าง 8 - 11 กิโลเมตรต่อลิตร ขึ้นอยู่กับสภาพการจราจรว่าติดขัดมากน้อยแค่ไหน ส่วนการเดินทางไกลด้วยความเร็วนิ่งๆ 110 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ได้อัตราสิ้นเปลือง 7.6 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร หรือ 13.15 กิโลเมตรต่อลิตร |
|
 |
|
ส่วนอัตราเร่งจากจุดหยุดนิ่งไปถึงความเร็วปลาย ค่อนข้างประทับใจเพราะมาเร็วและต่อเนื่อง แต่ยังคงความนุ่มนวลไม่กระชากกระชั้น มีอาการดึงให้สัมผัสได้บ้างพอสนุก การเพิ่มความเร็วในแต่ละช่วงค่อนข้างต่อเนื่องและคงที่ ทั้งในส่วนของเวลาและระยะทาง กระทั่งถึงความเร็วปลายๆ จึงต้องลากกันยาวนานหน่อยกว่าจะสุดคันเร่ง
คู่เปรียบเทียบที่พอสมน้ำสมเนื้อคือ Mini Cooper S Ray Edition เครื่องยนต์ 1,600 ซีซี เทอร์โบ Twin-Scroll ไดเร็คอินเจ็คชั่นเหมือนกัน แรงม้าแรงบิด Veloster มากกว่าเล็กน้อย แต่ก็แบกน้ำหนักมากกว่า 123 กิโลกรัม อัตราเร่งถึงช่วงความเร็วปานกลางยังสูสี และ Veloster เริ่มถูกทิ้งห่างเมื่อความเร็วสูงขึ้น |
|
ความเร็ว (กม./ชม.) |
เวลา (วินาที) |
ระยะทาง (เมตร) |
10 |
0.70 / 0.54 |
0.97 / 0.84 |
20 |
1.31 / 1.12 |
3.51 / 3.26 |
30 |
1.87 / 1.70 |
7.42 / 7.21 |
40 |
2.45 / 2.26 |
13.06 / 12.68 |
50 |
3.14 / 2.93 |
21.71 / 21.07 |
60 |
3.90 / 3.60 |
33.24 / 31.38 |
70 |
4.86 / 4.34 |
50.83 / 44.85 |
80 |
5.96 / 5.17 |
73.81 / 62.06 |
90 |
7.11 / 6.10 |
100.91 / 84.15 |
100 |
8.42 / 7.14 |
135.60 / 111.40 |
110 |
9.93 / 8.30 |
179.52 / 145.26 |
120 |
11.86 / 9.57 |
241.42 / 185.91 |
130 |
13.81 / 11.09 |
309.27 / 238.85 |
140 |
16.07 / 12.85 |
394.13 / 302.76 |
150 |
18.73 / 14.82 |
501.58 / 384.38 |
160 |
21.82 / 17.09 |
634.80 / 481.86 |
170 |
25.21 / 20.05 |
790.14 / 617.87 |
180 |
29.49 / 23.69 |
998.59 / 795.17 |
190 |
35.11 / 28.51 |
1287.65 / 1043.03 |
200 |
42.56 / 34.64 |
1690.89 / 1375.54 |
210 |
61.97 / 44.52 |
2799.70 / 1939.29 |
|
ระยะทาง (เมตร) |
เวลา (วินาที) |
ความเร็ว (กม./ชม.) |
0-100 |
07.1 / 06.7 |
89.7 / 96.0 |
0-200 |
10.6 / 10.0 |
113.8 / 123.0 |
0-402 |
16.3 / 15.2 |
141.1 / 152.0 |
0-1000 |
29.5 / 27.7 |
180.1 / 188.5 |
|
ความเร็วสูงสุด |
213.6 / 219.9 กิโลเมตรต่อชั่วโมง |
|
|
 |
|
การทดสอบใช้โหมดเกียร์ D เหยียบคันเร่งสุดแช่ไว้ให้เกียร์เปลี่ยนเอง ที่ไม่ใช้โหมด DS เพราะเมื่อลากรอบสุดแล้วเกียร์ก็เปลี่ยนให้เองอยู่ดี รวมทั้งในโหมด DS ก็ยังใช้การคิ๊กดาวน์ได้ และเมื่อไล่ขึ้นสู่เกียร์สูงแล้วลดความเร็วลง เกียร์ก็จะค่อยๆ เปลี่ยนลงให้ทีละเกียร์ตามความเหมาะสมกับความเร็ว การเปลี่ยนเกียร์รู้สึกว่าฉับไวกว่าเกียร์อัตโนมัติทั่วไปอยู่นิดๆ โดยเฉพาะการเปลี่ยนเกียร์ลงต่ำในโหมด +/- ส่วนการเปลี่ยนขึ้นเกียร์สูงก็นุ่มนวลแม้ลากรอบสูงในโหมด D สามารถดึง Paddle Shift ได้ แต่ขับไปสักพักก็จะกลับไปที่โหมด D เหมือนเดิม
วัดอัตราเร่งด้วยการกดคันเร่งสุดเกียร์ 1 รอบกวาดไปแถว 6,500 รอบต่อนาที ซึ่งเป็นขีดแดง แล้วจึงเปลี่ยนขึ้นเกียร์ 2 ในแต่ละเกียร์ที่เปลี่ยนสูงขึ้นรอบจะตกไปแถวๆ 4,750 - 5,000 รอบต่อนาทีแล้วไล่กลับขึ้นมาใหม่ไล่ไปถึงเกียร์ 6 ความเร็วบนชุดมาตรวัดหยุดนิ่งที่ประมาณ 220 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ที่ 5,100 รอบต่อนาที ส่วนความเร็วบนเครื่องมือวัดอัตราเร่งบันทึกไว้ที่ 213.6 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ใกล้เคียงกับ GPS ที่เปิดใช้งานไว้และบันทึกความเร็วสูงสุด 214 กิโลเมตรต่อชั่วโมง |
|
 |
|
ช่วงล่างต้องดูที่ผลงาน
Veloster ใช้ระบบกันสะเทือนหน้าอิสระแม็กเฟอร์สันสตรัต พร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลังทอร์ชั่นบีม ไม่ค่อยหล่อในแง่ความรู้สึก ยิ่งเป็นรถสปอร์ตด้วยแล้วคนส่วนใหญ่คาดหวังจะเห็นช่วงล่างอิสระ 4 ล้อ แต่จากการทดลองขับพบว่าประสิทธิภาพของช่วงล่างก็ไม่ได้ขี้เหร่ การดูดซับแรงสะเทือนในช่วงความเร็วต่ำ - ปานกลางทำได้ดี เมื่อมองถึงประเภทของรถที่ใช้ล้อแม็ก 7.5 x 18 นิ้ว พร้อมยาง 215/40 R18 ส่วนที่ความเร็วสูงบนทางเรียบตรงและโค้งกว้าง ก็ให้ความนิ่งมั่นคง สามารถแช่ที่ความเร็วสูงได้โดยไม่เครียด รวมทั้งการเข้าโค้งกว้างๆ ก็ไม่มีอาการวูบวาบหวาดเสียว การทำงานของช่วงล่างโดยรวมออกแนวกระชับหนักแน่น
ระบบบังคับเลี้ยวแร็กแอนด์พิเนียนพร้อมเพาเวอร์ไฟฟ้า ให้การผ่อนแรงที่เป็นธรรมชาติ ไม่เบาหวิวหรือรู้สึกลอยๆ เมื่อหมุนพวงมาลัย ช่วยได้มากเมื่อเข้าโค้งด้วยความเร็วสูง เพราะสามารถประคองพวงมาลัยไปตามความโค้งโดยไม่ต้องเกร็งหรือประคองพวงมาลัย การหมุนมีความราบเรียบและนุ่มนวล ส่วนความเฉียบคมอยู่ในระดับปานกลาง ไม่ต้องเพ่งสมาธิเพื่อควบคุม มีความผ่อนคลายขับได้นานโดยไม่เครียดหรือล้า แต่ก็ขาดรสชาติความเป็นสปอร์ตไปเล็กน้อย |
|
 |
|
ระบบเบรกดิสก์ 4 ล้อ ด้านหน้ามีครีบระบายความร้อน ขนาดจานเบรกหน้า/หลัง 300/262 มิลลิเมตร ประสิทธิภาพในการเบรกยอดเยี่ยม ทั้งในด้านพลังในการเบรก และความสัมพันธ์ของแรงเบรกกับการเหยียบแป้นเบรก เมื่อกดเบรกแบบเน้นค่อนข้างหนักแต่ไม่ใช่กระทืบเบรก ความเร็วระดับเกิน 180 กิโลเมตรต่อชั่วโมงก็ถูกดึงให้ลดลงอย่างรวดเร็ว อาการหน้าทิ่มท้ายยกมีให้สัมผัสไม่มากนัก และไม่มีอาการปัดเป๋เสียการทรงตัว มาพร้อมตัวช่วยครบครันทั้งเอบีเอส อีบีดี และบีเอ
ฮุนได Veloster Sport Turbo ราคา 1.739 ล้านบาท สีพิเศษเทาด้าน Petrol Grey แบบคันที่ทดสอบเพิ่มเงิน 10,000 บาท เป็นรถสปอร์ตแฮทช์แบ็กแนวคิดใหม่ ที่ยังคงความเท่ปราดเปรียวสไตล์รถสปอร์ต และเพิ่มเติมความสะดวกสบายด้วยการออกแบบประตู 2+1 เมื่อรวมเข้ากับเครื่องยนต์เทอร์โบที่แรงแต่ขับง่าย และเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ รวมถึงอุปกรณ์มาตรฐานที่ครบครัน จึงเป็นรถสปอร์ตที่ใช้งานได้ทุกวัน เพิ่มความมั่นใจด้วยการรับประกันคุณภาพ 3 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร •
ขอบคุณ: บริษัท ฮุนได มอเตอร์ (ไทยแลนด์) จำกัด เอื้อเฟื้อรถยนต์ในการทดสอบ |
|