February 24, 2018
Motortrivia Team (10167 articles)

North American International Auto Show 2018 บอกอะไรเราบ้าง : ตอนที่ 2


Posted by : Man from the Past

 

●   ต่อจากตอนที่แล้ว เมื่อเอ่ยถึงความสำคัญของ งานแสดงรถยนต์นานาชาติแห่งอเมริกาเหนือ ความยิ่งใหญ่ของ NAIS ไม่ได้ยิ่งใหญ่เฉพาะขนาดและการจัดแสดงรถ แต่ยังยิ่งใหญ่ทั้งในด้านประวัติความเป็นมาและชื่อเสียง กล่าวคือ งานนี้เป็นงานแสดงรถยนต์ที่เก่าแก่ที่สุดเป็นอันดับ 2 รองลงมาจากงานมอเตอร์โชว์กรุงลอนดอนที่เริ่มจัดในปี 1895 หรือ 4 ปีก่อนงานที่ดีทรอยต์จะเริ่มขึ้น

●   ทั้งนี้ปี 1899 เป็นปีส่งท้ายก่อนเปลี่ยนศตวรรษที่แล้ว ความแปลกก็คือ ณ เวลานั้นรถยนต์ยังไม่เป็นตัวเป็นตนกันนัก คือมีการผลิตเพื่อจำหน่ายกันแล้ว แต่ยังประปราย ส่วนการซื้อขายก็ไม่ได้กว้างขวางเช่นกัน กว่าที่รถยนต์จะมีการผลิตเป็นตัวตนในระดับอุตสาหกรรม ต้องรอกันจนถึงช่วงที่มีการเผยโฉม Ford Model T จนกระทั่งปี 1908 William E. Metzger ผู้ให้กำเนิดงาน NAIAS ซึ่งตอนนั้นยังใช้ชื่อ Detroit Motor Show ชายนามสกุลแปลกคนนี้เป็นชาวดีทรอยต์ที่เป็นผู้เปิดร้านตัวแทนจำหน่ายรถยนต์แห่งแรกในสหรัฐฯ รวมทั้งร่วมก่อตั้งบริษัทผลิตรถหลายแห่งๆ หนึ่งในนั้นเป็นต้นกำเนิดรถแบรนด์หรูอย่าง Cadillac ซึ่งปัจจุบันอยู่ภายใต้ชายคาของจีเอ็ม


1954 Detroit Auto Show ภาพจาก exoticwhips.tv.


●   แต่ก็อย่างที่บอกไว้ ตอนนั้้นรถยนต์ยังไม่แพร่หลาย ดังนั้นเมื่อจัดได้ปีเดียวตัวงานต้องย้ายไปจัดที่นครนิวยอร์คโดยใช้ชื่อ New York Auto Show ทั้งนี้ เราต้องเข้าใจก่อนว่า ในยุคนั้นการคมนาคมยังไม่เจริญเหมือนเช่นทุกวันนี้ ทว่าโลกกำลังเคลื่อนเข้าสู่ยุคแห่งการเรียนรู้และเดินหน้าเข้าหากัน มนุษย์เริ่มรู้ว่าโลกมีความกว้างใหญ่ไพศาล และมีความเจริญกระจายหลายจุด วิธีจะรับรู้ความกว้างใหญ่และความเจริญดีที่สุดก็คือ การจัดงานเทศกาลและมหกรรมสินค้าต่างๆ ตามเมืองใหญ่ๆ เพื่อเปิดโอกาสให้ประเทศต่างๆ ได้เปิดตัวต่อชาวโลก ซึ่งก็มีหลายประเทศใช้วิธีการนี้ รวมทั้งไทยที่ตอนนั้นใช้ชื่อสยามด้วย ทั้งนี้งานดังกล่าวที่เก่าแก่หลายงานยังเก็บหนังสือเล่มหนาจัดพิมพ์อย่างดีที่สยามจัดทำเพื่อแจกผู้เข้าชมไว้เป็นหลักฐานประวัติจัดงาน

●   ทั้งนี้การจัดแสดงสินค้าในงานยุคนั้น ประเทศที่เข้าร่วมมักนำผลิตภัณฑ์ชั้นเลิศที่ตัวเองผลิตไปแสดง หรือเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีการส่งออก ซึ่งหลังการจัดแสดงมีข้อมูลว่าตัวเลขการส่งออกได้เพิ่มสูงขึ้น นั่นทำให้งานที่เดิมๆ ถูกจัดเพื่อแนะนำคนในประเทศนั้นๆ ถูกพัฒนาเป็นงานแสดงสินค้าในระดับนานาชาติ จนในที่สุดเมื่อรถยนต์กลายเป็นหนึ่งในสินค้าสำคัญระดับเมนสตรีม และมีผู้ผลิตเป็นบริษัทชั้นแนวหน้า งานแสดงรถยนต์จึงถูกจัดขึ้นเพื่อแยกตัวเองออกมาเป็นเอกเทศจากสินค้าประเภทอื่น ๆ

●   หลังจากงาน New York Auto Show ได้ถูกจัดขึ้นในปี 1900 หรือปีเปลี่ยนศตวรรษ กว่าที่งาน Detroit Motor Show จะกลับมาอีกครั้งต้องรอไปถึง 7 ปี หรือปี 1907 จากนั้นจึงมีการจัดกันเป็นประจำทุกปีเรื่อยมา ยกเว้นปี 1941 – 1953 เมื่อโลกเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งหลังสงครามสงบยังต้องรอไปอีก 9 ปี จนเศรษฐกิจโลกเข้าที่เข้าทาง และนำพาให้อุตสาหกรรมรถยนต์โลกเข้าสู่ความมีหน้ามีตาจนถึงทุกวันนี้

●   อย่างไรก็ดี ในช่วงปีเหล่านั้้นงาน Detroit Motor Show ยังเป็นงานระดับภูมิภาคอเมริกาเหนือ ไม่ได้เป็นงานระดับนานาชาติ ปี 1957 ผู้ผลิตรถยนต์จากต่างประเทศจึงเริ่มนำผลงานของตนไปร่วมจัดแสดง เนื่องจากช่วงนั้นตลาดรถต่างประเทศในสหรัฐฯ เริ่มมีการเติบโตจากการเข้าไปบุกเบิกของรถโฟล์คสวาเกน กับรถ MG และ Austin-Healy ซึ่งเป็นรถสปอร์ตมีชื่อของอังกฤษ รถประเภทหลังได้ใจคนอเมริกันวัยเริ่มทำงาน พวกเขาพากันซื้อรถเหล่านี้เพื่อให้เป็นรถคันที่ 2 สำหรับขับพักผ่อนและขับอวดเพื่อนเวลามีงานเลี้ยง

●   แต่ถึงจะมีบริษัทรถจากต่างประเทศไปร่วมแสดง กว่างานจะถูกยกระดับเป็นงานแสดงในระดับนานาชาติต้องรอกันอีกจนถึงปี 1987 หรืออีก 30 ปี โดยองค์กรที่เร่งผลักดันก็คือ Detroit Auto Dealers Association หรือ DADA หรือสมาคมผู้แทนจำหน่ายรถยนต์แห่งดีทรอยต์ ซึ่งได้ส่งผู้แทนออกตระเวณพูดคุยกับบริษัทรถที่นำรถออกแสดงตามงานมหกรรมรถยนต์ในยุโรปและญี่ปุ่นเพื่อให้นำรถมาร่วมจัดแสดงที่งานรถยนต์ดีทรอยต์ ก่อนที่ชื่อชื่องานจะถูกเปลี่ยนชื่อเป็น North American International Auto Show ในปี 1989 ซึ่งหลังจากนั้นตัวงานก็ได้กลายเป็นงานรถยนต์นานาชาติอย่างสมบูรณ์

●   เช่นเดียวกับงานมหกรรมรถยนต์ทั่วไป งานที่จัดที่ดีทรอยต์จะเริ่มด้วยการจัดวัน press preview day ซึ่งเป็นวันที่เปิดเฉพาะสื่อมวลชน ตามด้วยวัน industry preview day ที่เปิดเฉพาะผู้ที่อยู่ในอุตสาหกรรมและธุรกิจรถยนต์ ระหว่างนี้ยังมีการจัดวัน charity preview day ซึ่งเปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าชมงาน แต่ต้องซื้อบัตรในราคาสูงกว่าปกติ เพื่อนำเงินไปช่วยเหลือองค์กรการกุศล มีการบันทึกการจัดงานว่า ในปี 2004 และ 2005 มีผู้เข้าชมงานวันการกุศล 17,500 คน ทุกคนซื้อบัตรในราคาใบละ 400 เหรียญ และเมื่อบวกรายได้อื่นๆ ในวันนั้นงานสามารถระดมเงินช่วยการกุศลได้ถึง 7 ล้านเหรียญ

●   นอกจากนี้ยังมีข้อมูลสถิติที่น่าสนใจอื่นๆ อาทิ ปี 2005 มีผู้แทนสื่อมวลชน 6,897 คนจาก 63 ประเทศเข้าชมงานวัน press preview ส่วนผู้ที่อยู่ในอุตสาหกรรมรถยนต์ 35,711 คนจาก 24 ประเทศเข้าชมงานวัน industry preview  day ครั้นพอเปิดงานให้คนทั่วไปเข้าชม จำนวนคนในปี 2004 ก็คือมากกว่า 800,000 คน… นั่นทำให้ดีทรอยต์และเมืองใกล้เคียงมีเงินสะพัดกว่า 500 ล้านเหรียญ

●   สำหรับงาน NAIAS ปี 2018 ที่ผ่านมา มีการจัดขึ้นระหว่างวันที่ 14-18 มกราคม การกำหนดวันมีการขยายวัน press preview ออกไปอีก 1 วันเป็นวันที่ 14-16 และเช่นกัน วัน Automobili-D ก็มีการขยายออกไปอีก 3 วัน เป็นวันที่ 14-21 หรือนานที่สุดในบรรดาวันแสดงทั้งหมด โดยวันที่ใช้ชื่อนี้เป็นวันแสดงความก้าวหน้าทางการใช้ยวดยานเดินทางและการผลิตยวดยานไร้คนขับ

●   ความก้าวหน้าทั้งหมดถูกประมวลเป็น second edition หรือฉบับที่สอง และแสดงให้เห็นความสำคัญของกระบวนการในอนาคตที่จะทำให้มนุษย์เดินทางไปไหนมาไหนโดยไม่ต้องมียานพาหนะของตัวเอง… คุณจะไปไหน ไปใกล้หรือไปไกลข้ามโลก คุณเพียงแค่ยกหูโทรศัพท์เท่านั้น เช่นเดียวกับการจราจรที่จะถูกจัดด้วยระบบอัตโนมัติ และมีการประสานงานทุกจุดผ่านฐานข้อมูลส่วนกลาง รถติดจะไม่เป็นปัญหา เช่นเดียวกับอุบัติเหตุบนท้องถนนที่ลดลง

●   ตามด้วยวัน industry preview จัดวันที่ 17-18  วัน charity preview จัดวันที่ 19 สำหรับวัน open to the public หรือวันเปิดให้สาธารณชนเข้าชม งานถูกจัดวันที่ 20-28 หรือรวมทั้งหมด 9 วัน ส่วนไฮไลท์สุด ๆ ของงานคงหนีไม่พ้นการประกาศและมอบรางวัล Car of the Year, Truck of the Year and Utility of the Year Award หรือรางวัลรถยนต์ รถบรรทุก และรถอเนกประสงค์ ดีที่สุดแห่งปีของงาน ซึ่งได้รับยกย่องเป็นรางวัลทรงคุณค่าที่สุดของอุตสาหกรรมรถยนต์

●   ผลที่่ออกมาปรากฏว่า 2018 Honda Accord ได้รับรางวัลแรกไปครอง ส่วนรางวัลที่ 2 เป็นของเจ้าบ้าน 2018 Lincoln Navigator ทั้งนี้คำว่า truck ในที่นี้ไม่ได้หมายถึง “รถบรรทุก” เท่านั้น แต่หมายถึงรถยนต์ที่บรรทุกได้มาก ซึ่งในความหมายเดิมคือ “รถกระบะ” แต่ถูกพัฒนาให้เป็นรถใช้งานแบบอื่น ซึ่งระยะแรกก็คือใช้งานในด้านกีฬา สันทนาการ และงานทั่วไปจนเป็นรถประเภทใหม่ที่เรียกว่า Sports-Utility Vehicle หรือ SUV

●   ปัจจุบันรถ SUV ได้รับการพัฒนาต่อจนรูปร่างเดิมไม่เหลือเค้า ยกตัวอย่างเช่น Lincoln Navigator ที่มีรูปร่างเหมือนรถตรวจการณ์สมัยก่อน และบริษัทฟอร์ดได้กำหนดให้รถใช้แบรนด์ Lincoln ซึ่งเป็นแบรนด์สำหรับทำตลาดในกลุ่มรถหรู ซึ่งฟอร์ดพยายามปรับตัวเองตลอดเวลาให้เป็นบริษัทรถหรูแบบเดียวกับบริษัทรถเยอรมัน เพื่อหนีการตกต่ำของราคาจำหน่ายรถที่นับวันจะต่ำลงมากขึ้น

●   รางวัลที่ 3 เป็นของ 2018 Volvo XC60 ความสำคัญก็คือ XC60 รุ่นที่ 2 จะครบรอบปีที่ 10 ที่มีการออกรถรุ่นนี้ และเป็นรถคันแรกที่่วอลโว่ผลิตภายใต้เจ้าของใหม่อย่าง Geely แห่งประเทศจีน ซึ่งซื้อกิจการรถสวีเดนแห่งนี้ไปเมื่อปี 2010 ต่อมาจากฟอร์ด วอลโว่ตั้งเป้าจะขาย XC60 ให้ได้ 175,000 คันต่อปี จาก 161,000 คันปี 2016 คู่แข่งที่จะเผชิญไม่ธรรมดาเพราะมีทั้งรถ Q5 จากค่ายออดี้ และรถ X3 จากค่ายบีเอ็มดับเบิลยู อีกประเด็นที่จะถูกจับตาอย่างใกล้ชิด คือ ความเป็นได้ที่วอลโว่อาจเข้าไปยึดตลาดรถอเนกประสงค์หรูจากสองค่ายรถเยอรมัน

●   นอกจากนี้วอลโว่ยังมีความเปลี่ยนแปลงใหญ่ๆ อีก 2-3 ประการ ไม่ว่าจะเป็นการมุ่งผลิตรถพลังงานไฟฟ้า, การเปิดตัวเครื่องยนต์ 3 สูบ เป็นครั้งแรกในรอบ 91 ปี และ การแยกแบรนด์ Polestar ออกมาเป็นเอกเทศ

●   ไฮไลท์รองจากการมอบรางวัลก็คือ การเปิดตัวรถคอนเซปท์ 3 คันได้แก่ Infiniti Q Inspiration, Lexus LF-1 Limitless และ Nissan Xmotion ส่วนไฮไลท์สุดท้ายของงานคงหนีไม่พ้นการเปิดตัวรถใหม่ ซึ่งมีทั้งหมด 23 คันทั้งรุ่นปี 2018 และ 2019 ซึ่งนับตามไตรมาส โดยรถรุ่นปี 2019 จะทยอยจำหน่ายภายในปี 2018 นี้

●   ในจำนวนรถใหม่ทั้งหมด รถที่ได้ความสนใจสูงสุดหนีไม่พ้นซูเปอร์คาร์ตัวถัง SUV รุ่นแรกของแบรนด์อิตาลีอย่าง 2019 Lamborghini Urus โดยรองลงมาจากรถซูเปอร์คาร์ก็เป็นรถนั่งหรู และรถที่ติดอันดับที่ผู้คนสนใจที่สุดก็คือ 2018 Rolls Royce Phantom ที่มาเปิดตัวในสหรัฐฯ ที่งานนี้ ส่วนรุ่นอื่นๆ ที่ไปเปิดตัวในสหรัฐฯ ได้แก่ 2019 Audi A7 และ 2018 Smart Fortwo ED 10th Anniversary Edition รถเล็กรุ่นดังในค่ายเดมเลอร์ที่เป็นรถฉลองครบรอบปีที่ 10 แห่งการผลิตที่ใช้เจาะกลุ่มไฟฟ้าล้วนแบบไฮเอนด์

●   รุ่นรถที่น่าเขียนถึงมี Nissan Xmotion concept ต้นแบบที่ทันโลกทันยุคทันเหตุการณ์จากดินแดนอาทิตย์อุทัย เนื่องจากวงการรถอเนกประสงค์นั้นกำลังเตรียมปรับตัวรถให้เป็นรถที่สมบุกสมบันน้อยลง นำไปใช้งานทั่วไปได้มากขึ้น และสวยทันสมัยราวกับรถแฟชั่น นั่นเพราะในยุคอนาคต โลกจะใช้รถยนต์นั่งน้อยลง และเปลี่ยนมาใช้รถอเนกประสงค์มากขึ้น เหตุผลหลักน่าจะเป็นการที่โลกกำลังก้าวเข้าสู่ยุคคนสูงวัย ดังนั้นความจำเป็นที่จะใช้รถนั่งจึงน้อยลง ตัวรถจำเป็นต้องสามารถใช้ขับไปทำงาน ขับไปรับส่งลูก และพาครอบครัวเที่ยวได้ด้วย

●   Nissan Xmotion มีหน้าตารถที่ดูซอฟท์ลง มีการยกระดับความสูงจากพื้นถนนให้มากขึ้น ฟิลลิ่งของรถคอนเซ็ปท์คันนี้ยังแสดงให้เห็นว่า นิสสันกำลังจะผลักดันรถให้เป็นรถ Nissan Patrol แห่งอนาคตที่ 21 หลังจากที่รถอยู่มายาวนาน 67 ปีแล้ว หรือตั้งแต่ปี 1951 ช่วงนั้นเป็นยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 นิสสันได้ผลิตรถรุ่นนี้ให้เลียนแบบรถจี๊ปของกองทัพสหรัฐฯ เพื่อจะได้เป็นรถใช้งานออฟโรด

●   อีกหนึ่งรุ่นที่ไม่เอ่ยถึงคงไม่ได้ 2019 Hyundai Veloster N รถที่แสนทะเยอทะยานของฮุนได้กับความแรงภายใต้ซับแบรนด์ N ผู้ที่ดูแลโปรเจคท์นี้คืออดีตหัวหน้าวิศวกรบีเอ็มดับเบิลยู Albert Biermann โดย Veloster N นับเป็นรถรุ่นที่ 2 ภายใต้ซับแบรนด์ N ต่อจาก Hyundai i30 N ตัวรถใช้เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ความจุ 2.0 ลิตร อัดอากาศด้วยเทอร์โบชาร์จ กำลังสูงสุด 275 แรงม้า เครื่องยนต์บล็อคนี้คือเครื่องบล็อคเดียวกับที่ใช้งานอยู่ใน i30 N รุ่นพื้นฐานในสหรัฐฯ เริ่มจำหน่ายช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2018 นี้ ส่วน Veloster N ต้องรอไปจนถึงช่วงไตรมาสที่ 4 การผลิตจะมีขึ้นที่โรงงานในเมืองอุลซัน ประเทศเกาหลีใต้

●   รถชั้นยอดคันที่ 3 คือ Infiniti Q Inspiration concept ต้นแบบภายใต้แบรนด์ Infiniti ซึ่งนิสสันต้องการแชร์ส่วนแบ่งทางการตลาดในกลุ่มรถหรูจากผู้ผลิตชั้นยอดในเยอรมนี และนี่เป็นความพยายามอีกครั้งของนิสสัน ซึ่งที่ผ่านมามีเสียงวิจารณ์ว่านิสสันออกแบบรถ Infiniti ไม่ค่อยดีเท่าไร ในแง่ของความเป็นตัวของตัวเอง ด้วยเหตุนี้นิสสันจึงใส่ความเป็นตัวตนเข้าไปในรถคอนเซปท์คันนี้ จนรถ Infiniti อาจยืนตระหง่านท่ามกลางรถหรูของเยอรมันได้ในอนาคต… น่าเสียดายที่นิสสันให้ข่าวว่ายังไม่มีแผนงานการผลิต Q Inspiration concept  เป็นคันจริงในเวลานี้

●   ต่อด้วย 2019 Mercedes-AMG CLS 53 รถซึ่งนักนิยมรถแรงต่างยกย่องว่าเป็นรถชั้นยอดของจริง แน่นอนว่ารถคันนี้โดดเด่นตั้งแต่การเป็นรถภายใต้ชายคา Mercedes-AMG และการนำเสนอโมเดลใหม่ของ 53-series สำหรับ CLS ที่มาพร้อมเครื่องยนต์อันทรงพลังบล็อคใหม่ล่าสุด เบนซิน 6 สูบเรียง ความจุ 3.0 ลิตร เสริมกำลังด้วยระบบ mild hybrid ที่เมอร์เซเดสเรียกว่า EQ boost โดยทำการแทนที่ starter motor และ alternator แบบเดิมด้วย EQ Boost starter-alternator ควบรวมการทำงานของ starter motor และ alternator เป็นหน่วยเดียวกันด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า ติดตั้งเอาไว้ระหว่างเครื่องยนต์และระบบส่งกำลัง ช่วยเพิ่มกำลังให้ราว 21 แรงม้า พร้อมแรงบิด 250 นิวตัน-เมตร

●   และเมื่อรวมกำลังทั้งระบบ Mercedes-AMG CLS 53 จะมีพละกำลังถึง 435 แรงม้า พร้อมแรงบิดถึง 520 นิวตัน-เมตร

●   สรุปแล้ว งาน NAIAS ปีนี้มีผู้เข้าชม 809,161 คน สูงกว่าปีที่แล้วที่มีคนเข้าชม 749,229 คน ในจำนวนผู้เข้าชมปีนี้ 5,078 คนเป็นผู้แทนสื่อมวลชนจาก 60 ประเทศ 40,000 คนเป็นผู้บริหารบริษัท นักธุรกิจ นักออกแบบ นักพัฒนา และนักวิเคราะห์ที่อยู่ในแวดวงอุตสาหกรรมรถยนต์ ส่วนจำนวนผู้เข้าชมวัน charity preview มี 12,714 คน และทั้งหมดได้ร่วมกันบริจาคเงินจำนวน 5.1 ล้านเหรียญให้องค์กรการกุศลช่วยเหลือเด็กในนครดีทรอยต์

●   เรื่องราวที่น่าสนใจของงาน NAIAS ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ คราวหน้าเราจะมาเก็บตกเรื่องน่าสนใจปลีกย่อยด้วยกัน   ●