August 21, 2017
Motortrivia Team (10071 articles)

Continental MaxContact MC6 เปิดตัวพร้อมลองสมรรถนะที่พีระ เซอร์กิต


เรื่อง – ภาพ : นาธัส แสงสุริยะ

 

●   คอนติเนนทอล ไทร์ส ผู้ผลิตยางรถยนต์จากเยอรมนี เปิดตัวยาง แม็กซ์คอนแท็ค เอ็มซี6 (MaxContact MC6) รุ่นใหม่ หนึ่งในผลิตภัณฑ์หลักเจนเนอเรชั่น 6 ณ พีระ อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต พัทยา โดยยางรุ่นใหม่นี้ไม่ได้เพียงมาแทนที่ แม็กซ์คอนแท็ค เอ็มซี 5 เท่านั้น แต่ยังได้รับการพัฒนาให้เป็นยางที่มีความสปอร์ตยิ่งขึ้น ผสมผสานเทคโนโลยีเยอรมัน เข้ากับความเชี่ยวชาญด้านยานยนต์ของคอนติเนนทอล โดยยางรุ่นใหม่ แม็กซ์คอนแท็ค เอ็มซี6 พัฒนาด้วยแนวคิด When MAX Performance Counts เพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมบนพื้นเปียกและแห้ง การเบรกบนพื้นเปียก และประสิทธิภาพในระยะยาวเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า

●   MAX Performance ประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก M-Multifunctional Tread Design, A-Adaptive Grip Compound และ X-Xtreme-Force Construction ส่งผลให้ยางมีประสิทธิภาพในการรองรับแรงขับเคลื่อนทั้ง 4 ทิศทาง ได้แก่ การเร่งความเร็ว การเบรก และการเข้าโค้งซ้ายขวา

Multifunctional Tread Design ดีไซน์ดอกยางแบบอเนกประสงค์
●   เพิ่มการยึดเกาะและการควบคุม พร้อมลดระยะการเบรกบนพื้นเปียกและแห้ง ดอกยางช่วยเพิ่มการยึดเกาะให้มีประสิทธิภาพสูงสุด

–   Stabilizer Bars แถบยางเสริมความแข็งแรงบริเวณร่องยางจำนวน 50 จุด เสริมประสิทธิภาพขณะเข้าโค้ง
–   Asymmetric Rib Geometry รูปทรงของดอกยางป้องกันการบิดตัวเมื่อเข้าโค้งและการเปลี่ยนเลนอย่างรุนแรง
–   Longitudinal Chamfered Edges ขอบยางแบบตัดมุมตามแนวเส้นรอบวงของดอกยาง ป้องกันยางม้วนตัวในทิศทางด้านข้างขณะเข้าโค้ง และช่วยป้องกันการเคลื่อนตัวเข้าหากันของร่องดอกยางตามแนวด้านข้าง เพิ่มผิวสัมผัสของหน้ายางขณะเข้าโค้ง
–   Chevron Grip ร่องดอกยางรูปตัววี ออกแบบเพื่อให้หน้าผิวสัมผัสมีแรงกดสม่ำเสมอขณะเข้าโค้ง ให้การยึดเกาะถนนดีขึ้น
–   Stable Rib Structure ดอกยางแนวตรงได้รับการออกแบบเพื่อป้องกันการบิดตัวของดอกยาง ทำให้ส่งผ่านแรงตามแนวเส้นรอบวงยางสู่ผิวถนนอย่างมีประสิทธิภาพ ระยะเบรกสั้น ยึดเกาะถนนได้ดี
–   Noise Breaker 2.0 ปุ่มตัดคลื่นเสียงที่เคลื่อนผ่านร่องยาง ช่วยให้เสียงรบกวนต่ำลง

Adaptive Grip Compound อแดปทีฟ กริป คอมพาวด์
●   เนื้อยางเพิ่มการยึดเกาะถนนและให้ความปลอดภัยสูงสุด ด้วยการปรับความยืดหยุ่นตามสภาพพื้นผิวถนนที่หลากหลายได้อย่างสมบูรณ์แบบในระดับนาโนเมตร มีการยึดเกาะถนนที่ตอบสนองใน 3 ระดับที่แตกต่างกัน

1.   Mechanical Interlocking เนื้อยางสามารถแทรกตัวเข้าล๊อคกับพื้นผิวถนนได้อย่างดีเยี่ยม
2.   Hysteresis เกิดจากการบิดตัวของเนื้อยางในระดับไมโคร ช่วยให้หน้ายางสัมผัสพื้นถนนได้ดี
3.   Adhesion ความเหนียวเกิดจากระดับการยึดเกาะในระดับโมเลกุลตามหลักการ “Van der Waals” ที่ยึดโพลิเมอร์เข้ากับถนนในระดับนาโนเมตร

XtremeForce Construction โครงสร้างเอ็กซ์ตรีมฟอร์ซ
●   ช่วยลดการงอตัวของยาง พร้อมเพิ่มการควบคุมและสั่งการตัวรถได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เมื่อขับด้วยความเร็วต่ำ วัสดุโพลีเอสเตอร์จะทำให้ยางคงสภาพความยืดหยุ่น เพื่อการขับที่นุ่มนวล และปรับให้แข็งขึ้นเพื่อรองรับการขับแบบสปอร์ต มาพร้อมเทคโนโลยีลดแรงต้านการหมุน และมีเสียงรบกวนที่ต่ำ อายุการใช้งานยาวนาน

●   Continental MaxContact MC6 จำหน่ายในประเทศไทยด้วยขนาด 16-19 นิ้ว ราคาเส้นละ 4,066-10,165 บาท

ลองของจริงกับ 6 สถานี
●   หลังจากฟังการบรรยายคุณสมบัติของยางแล้ว ก็ได้เวลาทดลองขับด้วยตัวเองกับ 6 สเตชั่นที่วางไว้ทั้งในสนามแข่งหลัก และสนามโกคาร์ท ทุกสเตชั่นขับโดยมี Instructor นั่งไปด้วย เพื่อแนะนำเส้นทางและความเร็วที่ใช้ เพื่อให้ผู้ขับมีสมาธิในการจับความรู้สึกของยางอย่างเต็มที่

Station 1-2 Dry Handling
●   มีรถให้ลองขับ 2 รุ่น เป็นพวงมาลัยซ้ายทั้งคู่ คือ บีเอ็มดับเบิลยู 440i ใส่ยาง Continental MaxContact™ MC6 ขนาด 225/45/18 เท่ากันทั้ง 4 ล้อ ลองเข้าสลาลมด้วยความเร็ว 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อาจดูช้าไปนิด แต่จริงๆ แล้วเร็วพอสมควร เพราะวางไพลอนไว้ค่อนข้างชิด และความเร็วประมาณนี้จะทำให้ไม่ต้องเพ่งสมาธิไปที่การควบคุมรถมากนัก เพื่อให้จับความรู้สึกของยางได้อย่างเต็มที่ จากนั้นขับมาถึงโค้งแรกก่อนเข้าทางตรง เมื่อพวงมาลัยตรง Instructor ก็บอกให้กดคันเร่งเต็มที่ และเบรกหนักๆ ก่อนโค้งซ้ายลงเขาช่วงปลายสุดทางตรง ได้ความเร็วก่อนเบรกประมาณ 150 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพื่อทดสอบประสิทธิภาพของยางเมื่อเบรกอย่างรุนแรงบนถนนแห้ง

●   อีกคันเป็นปอร์เช่ 911 พวงมาลัยซ้ายเช่นกัน ใส่ยาง Continental MaxContact™ MC6 ด้านหน้า 245/35/20 ด้านหลัง 295/30/20 ขับเหมือนกับ 440i แต่รู้สึกได้ว่าขับง่ายกว่า ทั้งตัวรถที่แบนเตี้ย จุดศูนย์ถ่วงต่ำ และยางขนาดใหญ่ สลาลมได้อย่างคมกริบจนอยากจะเพิ่มความเร็วอีกนิด ออกจากโค้งกดคันเร่งสุด ได้ความเร็วก่อนเบรกประมาณ 170 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เบรกหนักๆ แต่ไม่ถึงกับกระทืบเบรกก็ดึงรถให้ช้าลงได้อย่างรวดเร็วและนิ่งสนิท รอบ 2 ขอต่อรองกับ Instructor ว่าขอกดคันเร่งตั้งแต่ก่อนออกจากโค้งได้ไหม เมื่อ Instructor ยินยอมรอบ 2 จึงได้ความเร็วเพิ่มขึ้นอีกนิด เหยียบเบรกแบบเน้นๆ ก็เอาอยู่

Station 3 Wet Braking
●   ใช้โฟล์ค กอล์ฟ GTI พวงมาลัยซ้าย 2 คัน ยาง 225/45/18 ใส่ยางรุ่นเดิม MC5 และยางรุ่นใหม่ MC6 เร่งออกจากโค้งแล้วเบรกบนถนนเปียกตรงจุดที่กำหนด ใช้ Performance Box วัดระยะเบรกจาก 70-5 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จึงไม่ต้องกังวลเรื่องทำความเร็วให้เท่ากันทุกรอบ แค่เบรกให้ตรงจุดที่กำหนด และกระทืบเบรกให้หนักเต็มที่ก็พอ เฉลี่ยแล้ว MC6 เบรกสั้นกว่าประมาณ 5 เมตร


Station 4 Wet Handling
●   เปรียบเทียบระหว่างยางรุ่นเดิม MC5 ใส่ในฮอนด้า ซีวิค ใหม่ และยางรุ่นใหม่ MC6 ใส่ในฮอนด้า ซีวิค FD ทั้ง 2 คันใช้ยางขนาดเดียวกัน 205/40/17 ขับเปลี่ยนเลนกะทันหัน เข้าโค้งซ้ายและขวาบนทางเปียก รวมทั้งยูเทิร์นบนทางเปียก พบว่า MC6 ควบคุมง่ายกว่า รักษาองศาของรถขณะเข้าโค้งได้ดีกว่า ไม่ต้องหมุนพวงมาลัยช่วย ส่วน MC5 ในซีวิคใหม่มีการลื่นไถลในบางจุด สังเกตจากไฟ Traction Control ที่กะพริบเมื่อระบบทำงาน และบางจุดต้องหมุนพวงมาลัยเพิ่มหรือคลายพวงมาลัยเพื่อช่วยรักษาทิศทางของรถ

Station 5 Lane Change
●   ใช้เบนซ์ C180 ยาง 225/45/18 เปรียบเทียบระหว่าง MC5 และ MC6 มั่นใจได้ว่าทุกครั้งและทุกรอบที่ทดสอบจะใช้ความเร็วเท่าเดิมแน่ เพราะมีระบบ Speed Limit ผู้ขับแค่กดคันเร่งสุดแต่ไม่คิ๊กดาวน์ ถึงจุดที่กำหนดก็ผ่อนคันเร่งแล้วหมุนพวงมาลัยเปลี่ยนเลนกะทันหัน พบว่า MC6 ตอบสนองไวกว่าและแม่นยำกว่า ควบคุมรถง่ายกว่า

Station 6 Braking in Curve
●   ใช้เบนซ์ C180 ยาง 225/45/18 เช่นกัน เปลี่ยนเทียบระหว่างยางรุ่นเดิม MC5 กับรุ่นใหม่ MC6 จำลองสถานการณ์ว่ากำลังเข้าโค้งด้วยความเร็วประมาณ 75-80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แล้วต้องเบรกกะทันหัน อาการของรถแตกต่างกันชัดเจน MC5 มีอาการลื่นไถล ต้องหมุนพวงมาลัยเพิ่ม และควบคุมรถได้ยาก ส่วน MC6 เบรกในโค้งและบังคับทิศทางได้ง่ายกว่าแม่นยำกว่า   ●


Continental MaxContact MC6