June 26, 2017
Motortrivia Team (10162 articles)

Hyundai H-1 และ Grand Starex ขับเข้าเมืองเยือนแหล่งวัฒนธรรม


เรื่อง : สุพรรณี ยังอยู่  •  ภาพ : ฮุนได ประเทศไทย

 

●   บริษัท ฮุนได มอเตอร์ (ไทยแลนด์) จำกัด ผู้นำเข้าและจำหน่ายรถยนต์ฮุนไดอย่างเป็นทางการในประเทศไทย เปิดตัวรถยนต์เอนกประสงค์ Hyundai H-1 และ Grand Starex รุ่นปรับโฉมใหม่ เมื่อต้นเดือนมีนาคม 2559 ที่ผ่านมา ทั้ง 2 รุ่นมีการปรับปรุงทั้งด้านคุณภาพและการออกแบบให้ มีความทันสมัย หรูหรา และสะดวกสบายในการใช้งานยิ่งขึ้น

●   H-1 ภายในห้องโดยสาร 11 ที่นั่ง สามารถปรับเลื่อนตำแหน่งเบาะนั่งเพื่อเพิ่มพื้นที่บรรทุกสัมภาระ เบาะแถว 2 สามารถปรับหมุนได้ 180 องศา เบาะแถว 3 ถ้าผู้โดยสารที่มีรูปร่างเล็กยังพอนั่งได้สบายๆ เหลือพื้นที่วางสัมภาระได้ และยังเหลือพื้นที่ด้านหลังสามารถวางสัมภาระได้อีกเล็กน้อย หัวหมอนออกแบบพิเศษรูปปีกผีเสื้อรองรับศีรษะทำให้นั่งสบายขึ้น คอนโซลกลางมีจอทัชสกรีนขนาด 8 นิ้ว ติดตั้งระบบ DVD และระบบนำทางผ่านดาวเทียม GPS พร้อมหน้าจอ LCD ติดเพดานขนาด 13.3 นิ้ว

●   Grand Starex วีไอพีหรู 7 ที่นั่ง เน้นความสะดวกสบายที่เบาะแถวแรกเป็นแบบแยกหรือ Captain Seat ปรับพนักเอนและปรับที่รองขาด้วยระบบไฟฟ้า หมอนรองศีรษะสามารถปรับด้านข้างให้รองศีรษะได้ ระหว่างเบาะมีที่วางแก้วน้ำแบบพับเก็บได้ เบาะแถว 2 นั่ง 2 คนได้สบายๆ ระหว่างเบาะผู้ขับกับเบาะแถวแรกมีเคาน์เตอร์ขนาดใหญ่กั้น มีที่เก็บของ 2 ฝั่ง ทีวี LCD ขนาด 22 นิ้ว แบบเลื่อนเก็บลงไปในเคาน์เตอร์ได้ มีชุดเครื่องเสียงพร้อมลำโพงจาก Kenwood

●   ทั้ง 2 รุ่น เพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้โดยสารด้านหลังด้วยประตูข้างไฟฟ้าทั้ง 2 ด้าน ควบคุมการเปิด-ปิดได้ 3 จุด คือแผงประตูฝั่งคนขับ, รีโมทคอนโทรล และบริเวณที่เปิดประตู อุปกรณ์ที่น่าสนใจคือระบบกล้องมองภาพรอบคัน Smart View ประกอบด้วยกล้อง 4 ตัว ติดตั้งที่กระจังหน้า กระจกมองข้าง และด้านหลัง มาพร้อมระบบสังเคราะห์ภาพรอบคันแบบ Bird Eye View 360 องศา ปรับเปลี่ยนมุมมองได้ และซูมภาพได้ ช่วยให้เห็นสิ่งกีดขวางรอบคันได้ดีขึ้น กล้องมองหลังทำงานอัตโนมัติเมื่อเข้าเกียร์ถอยหลัง และแสดงภาพบนจอทัชสกรีนที่คอนโซลกลาง พร้อมเส้นกะระยะและสัญญาณเสียงเตือน เพิ่มความสะดวกสบายและความปลอดภัยสำหรับรถขนาดใหญ่

●   เครื่องยนต์ดีเซลคอมมอนเรล เทอร์โบแปรผัน พร้อมอินเตอร์คูลเลอร์ 4 สูบ 2,497 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 175 แรงม้า ที่ 3,600 รอบต่อนาที แรงบิด 44.93 กก.-ม. ที่ 2,000-2,250 รอบต่อนาที ผ่านมาตรฐานไอเสีย EURO 4 เกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ

●   สำหรับกิจกรรมครั้งนี้ ฮุนได ประเทศไทย ต้องการถ่ายทอดเอกลักษณ์ของรถทั้ง 2 รุ่นที่เน้นความเป็นครอบครัวที่อยู่เคียงกัน ในรูปแบบการท่องเที่ยวแบบครอบครัวหรือกลุ่มเพื่อนในวันหยุดพักผ่อน ในระยะทางสั้นๆ แบบเช้าไปเย็นกลับ จุดนัดพบที่ร้าน ออน ล๊อก หยุ่น ลักษณะเป็นตึกแถวเก่าแก่ คูหาเดียว 2 ชั้น ตั้งอยู่บนถนนเจริญกรุงใกล้ศูนย์การค้า ดิโอลด์ สยาม พลาซ่า เปิดบริการมานานกว่า 70 ปี เป็นร้านกาแฟที่บริการอาหารเช้าแบบฝรั่งหรือ American breakfast ที่เราคุ้นหูคุ้นตาตามสถานที่พักแรมต่างๆ แต่ยังคงเอกลักษณ์ย่านคนจีนสมัยก่อน มีบริการเสิร์ฟน้ำชาร้อนฟรีให้ลูกค้าที่สั่งอาหาร และสามารถขอเพิ่มได้ตลอดตามต้องการ รูปแบบการจัดวางอาหารเรียบง่ายไม่ได้พิถีพิถันตามแบบฝรั่ง ยังคงบรรยากาศสบายๆ เป็นกันเอง และราคาอาหารไม่แพง


คุณชนกวนันท์ เตชะภัทรพร ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายประชาสัมพันธ์และกิจกรรมพิเศษ บริษัท ฮุนได มอเตอร์ (ไทยแลนด์) จำกัด


●   แบ่งกลุ่มเดินทาง ระยะทางรวม 16 กิโลเมตร ทริปนี้สื่อมวลชนเป็นผู้โดยสาร รถทุกคันจะมีเจ้าหน้าที่รับหน้าที่เป็นผู้ขับ เพื่อตอบโจทย์ประเภทของรถครอบครัว เริ่มต้นเดินทางจากศูนย์การค้า ดิโอลด์ สยาม พลาซ่า มอเตอร์ทริเวียโดยสารในรุ่น H-1 เลือกตำแหน่งเบาะนั่งแถวแรกด้านหลังผู้ขับ พื้นที่ด้านหน้าเหลือเยอะ ลองเลื่อนเบาะขยับมาด้านหน้าอีกเล็กน้อย ก็ไม่ได้ทำให้อึดอัด หรือนั่งไม่สบาย ทำให้พื้นที่โดยสารแถว 2 กว้างขวางมากขึ้น ผู้โดยสารด้านหลังมีพื้นที่เพิ่มขึ้นจากเดิมก็นั่งสบายอยู่แล้ว

●   การขับรถบนเส้นทางในกรุงเทพฯ โดยเฉพาะย่านชุมชนเก่าแก่ที่ถนนมีขนาดแคบ ทำให้จุดกลับรถบางแห่งแคบไปด้วย เส้นแบ่งช่องจราจรแทบจะพอดีตัวรถ อีกทั้งความวุ่นวายของการจราจร แต่เจ้ายักษ์ใหญ่อย่าง H-1 ก็ไม่ได้สร้างปัญหา สามารถใช้งานได้เหมือนรถยนต์นั่งขนาดกลาง สามารถกลับรถหรือเลี้ยวในที่แคบได้สบายๆ จากรัศมีวงเลี้ยวเพียง 5.6 เมตร

●   จุดหมายแรกคือ ชุมชนกุฎีจีน หรือ กะดีจีน คำว่ากุฎีเป็นคำที่ใช้เรียกศาสนสถานของศาสนา เช่น กุฎีเจ้าเซ็นและภุฎีขาวเป็นมัสยิดหรือสุเหร่าของชาวมุสลิม กุฎีจีนเป็นศาลเจ้าของชาวจีน ซึ่งในสมัยโบราณเรียกว่า กะดี สถานที่แห่งนี้เคยเป็นย่านชุมชนของพ่อค้าชาวจีนฮกเกี้ยนที่อพยพมาจากกรุงศรีอยุธยา มีประวัติความเป็นมายาวนานกว่า 200 ปี ตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรี การท่องเที่ยวย่านนี้เสน่ห์อยู่ตรงที่ใช้วิธีเดินเท้าเข้าไป ทำให้ตลอดเส้นทางได้เห็นวิถีชีวิตของคนในชุมชนริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ตั้งแต่สมัยโบราณเป็นที่อยู่อาศัยของกลุ่มคนหลากหลายเชื้อชาติทั้ง ไทย จีน ฝรั่ง ญวน มอญ เป็นต้น อพยพมาตั้งถิ่นฐานบริเวณด้านทิศใต้ของคลองบางหลวงหรือคลองบางกอกใหญ่ใกล้ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ทำให้เกิดความหลากหลายทางวัฒนธรรมและศาสนา จึงเป็นที่มาของคำว่า “3 ศาสนา และ 4 ความเชื่อ”

●   3 ศาสนา ได้แก่ พุทธ คริสต์ และอิสลาม โดยความเชื่อแรกเป็นของชาวคริสต์นิกายคาทอลิกที่อาศัยบริเวณโบสถ์ซางตาครู้ส เป็นโบสถ์เก่าแก่สมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินหรือสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ทรงพระราชทานที่ดินให้แก่คุณพ่อกอรร์ บาทหลวงชาวฝรั่งเศส จากนั้นได้รวบรวมชาวบ้าน และชาวคริสตัง และชาวโปรตุเกสที่อพยพ มาช่วยสร้างโบสถ์แห่งนี้ สำหรับกลุ่มคริสตชน ชาวโปรตุเกสขอเข้าพึ่งพระบรมโพธิสมภารตรงกับวันที่ 14 กันยายน 2312 เพื่อเป็นการระลึกถึงเหตุการณ์สำคัญนั้น คุณพ่อกอรร์ฯ จึงตั้งชื่อที่ดินรวมถึงโบสถ์ที่สร้างขึ้นว่า ซางตาครู้ส ภาษาโปรตุเกสแปลว่าไม้กางเขนศักดิ์สิทธิ์ กาลเวลาทำให้สถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ชำรุด ทรุดโทรม จึงมีการบูรณะล่าสุดเป็นครั้งที่ 3 ในปี 2456 สถาปัตยกรรมแบบอิตาเลียนสมัยเรเนซองส์หรือเรียกว่า นีโอ คลาสสิก (ข้อมูลอ้างอิงมาจาก สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฎธนบุรี)

●   ความเชื่อที่ 2 ของชาวพุทธนิกายเถรวาท นับถือสักการะพระพุทธไตรรัตนนายกหรือหลวงพ่อโตแห่งวัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร ที่สร้างขึ้นสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 สถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้เป็นที่เคารพสักการะของกลุ่มชาวจีน มีความเชื่อด้านขอพรเรื่องการเดินทางปลอดภัย แคล้วคลาดจากสิ่งชั่วร้าย และพบมิตรที่ดี

●   พระพุทธไตรรัตนนายก หรือคนจีนเรียกว่า ซำปอกง คนไทยเรียกว่าพระโต หรือหลวงพ่อโต เป็นพระพุทธรูปปูนปั้นปางมารวิชัย หน้าตักกว้าง 11.75 เมตร สูง 15.46 เมตร องค์พระสีเหลืองอร่ามทั้งองค์ ตามประวัติรัชกาลที่ 3 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระราชทานช่วยเจ้าพระยานิกรบดินทร์ (โต กัลยาณมิตร) ว่าที่สมุหนายก ท่านทรงมีความตั้งใจให้วัดแห่งนี้มีลักษณะเหมือนวัดพนัญเชิง วรวิหาร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ที่มีพระโตนอกกำแพงเมือง และทรงนำเคล็ดลับชื่อโต เมื่อรวมความหมายกับเจ้าพระยานิกรบดินทร์มิตรที่ดีของท่าน วัดแห่งนี้จึงชื่อว่า วัดกัลยาณมิตร หรือมิตรที่ดี (ข้อมูลอ้างอิงมาจาก the trippocker)

●   ความเชื่อที่ 3 ของชาวพุทธนิกายมหายาน เคารพสักการะศาลเจ้าเกียนอันเก๋ง ศาลเจ้าของชุมชนชาวจีนในย่านนี้ ที่มีองค์พระประธานเป็นพระโพธิสัตว์กวนอิม สถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ไม่มีประวัติเป็นลายลักษณ์อักษร แต่จากคำบอกเล่าสืบทอดกันมาว่าเป็นศาลเจ้าที่สร้างขึ้นโดยคนจีนที่ตามเสด็จพระเจ้าตากสินมหาราช มาตั้งถิ่นฐานอยู่ปากคลองบางหลวงหรือคลองบางกอกใหญ่ฝั่งตะวันออก มีการสันนิษฐานว่า ศาลเจ้าแห่งนี้เป็นที่มาของคำว่า กุฎีจีน แต่เดิมมีศาลเจ้า 2 ศาลตั้งใกล้เคียงกัน ศาลหนึ่งประดิษฐานเจ้าพ่อโจวซือกง ส่วนอีกศาลประดิษฐานเจ้าพ่อกวนอู เมื่อคนจีนย้ายไปอยู่ฝั่งพระนคร ศาลเจ้าทั้ง 2 จึงถูกทอดทิ้งทำให้เกิดการชำรุด ทรุดโทรม

●   ครั้นเมื่อเจ้าพระยานิกรบดินทร์ เจ้าสัวโต ต้นสกุลกัลยาณมิตร อุทิศที่บ้าน กับซื้อที่ดินเพิ่มเติมเพื่อสร้างวัดกัลยาณมิตร ขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2368 ซึ่งเป็นปีที่ 2 ในรัชกาลที่ 3 ชาวจีนฮกเกี้ยน ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของ สกุลตันติเวชกุล และ สกุลสิมะเสถียร ได้เดินทางมากราบไหว้ศาลเจ้าทั้ง 2 แห่ง ครั้นเห็นชำรุดทรุดโทรมหนักไม่คิดจะซ่อมแซม แต่ร่วมกันรื้อถอนศาลเจ้าทั้งสอง แล้วสร้างศาลเจ้าใหม่ ในที่เดิมเป็นศาลเดียว แต่จะอัญเชิญเจ้าพ่อโจวซือกง และเจ้าพ่อกวนอูไปประดิษฐานที่ใดไม่ปรากฏหลักฐาน ส่วนศาลเจ้าที่สร้างใหม่ได้เปลี่ยนองค์พระประธานเป็นเจ้าแม่กวนอิม และเรียกชื่อว่า ศาลเจ้าเกียนอันเก๋ง สืบจนถึงปัจจุบัน (ข้อมูลอ้างอิงมาจาก www.thaisamkok.com และ สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฎธนบุรี)

●   หลังจากกราบไหว้สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ตนเองได้เวลาเยือนขนมโบราณที่มีชื่อว่า ขนมฝรั่งกุฎีจีน สำหรับผู้ที่เดินทางมาสถานที่แห่งนี้คงไม่มีใครพลาดที่จะซื้อติดไม้ติดมือกลับบ้าน ถือเป็นขนมประจำท้องถิ่นหรือชุมชน ขนมฝรั่งกุฎีจีน เป็นขนมโบราณลูกผสมจีนกับฝรั่ง ที่คนไทยรู้จักกันตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ส่วนประกอบฝักเชื่อม ชาวจีนเชื่อว่าให้ความร่มเย็น น้ำตาลทรายให้ความมั่งคั่ง ลูกพลับอบแห้ง และลูกเกด เป็นผลไม้ที่มีราคาแพง และมีคุณค่าทางด้านอาหารสูง สืบทอดวิธีผลิตมาจากโบราณโดยใช้เพียงไข่ แป้งสาลี และน้ำตาลทรายแดงเท่านั้น ไม่มีส่วนผสมของเนยนม ยีสต์ ผงฟู และสารกันบูด เมื่อผ่านขบวนการอบด้วยอุณหภูมิความร้อนที่พอเหมาะจากเตาถ่าน จะได้รสชาติกรอบนอกนุ่มใน หอม หวาน อร่อยกันเลยทีเดียว ปัจจุบันมีร้านที่ใช้กรรมวิธีเดิมๆ แบบโบราณอยู่ 2-3 แห่ง หนึ่งในนั้นคือ ร้านคุณเล็ก (ซอย 9) ลูกแม่ศรีหลานยาเป้า

●   เดินเท้ากันต่อประมาณ 10 เมตร ถึง พิพิธภัณฑ์บ้านกุฎีจีน เพื่อแวะดื่มเครื่องดื่มเย็นๆ เพื่อดับกระหายจากอุณหภูมิที่ค่อนข้างร้อน แต่เปรียบเทียบถ้าเกิดฝนตก คงหมดสนุกกันอย่างแน่นอน สถานที่แห่งนี้เกิดจากทุนส่วนตัว ที่ผู้ก่อตั้งต้องการให้ชุมชนหรือท้องถิ่น มีสถานที่เก็บข้อมูลและเป็นแหล่งเรียนรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของชุมชน พร้อมกันนั้นได้เปิดมุมกาแฟเล็กๆ และของที่ระลึกไว้บริการ นั่งพักพอคลายร้อน เดินเท้าไปยัง เรือนจันทนภาพ เป็นเรือนไม้สักทั้งหลัง ส่วนของเสาบ้านใช้ไม้ตะเคียนทั้งหมด รูปทรงแบบเครื่องสับทรงจั่วจอมแห อายุกว่า 100 ปี โดยมี ป้าแดง หรือ คุณจารุภา จันทนภาพ (ลูกสะใภ้) รับหน้าที่เป็นผู้ดูแล

●   เรือนไทยแห่งนี้สร้างขึ้นสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ในปัจจุบันหน้าต่างหนึ่งบานถูกปิดอย่างถาวร เนื่องจากโดนแรงกระสุนและแรงระเบิดจากเหตุการณ์ กบฎแมนฮัตตัน นอกจากนี้ที่ฝาบ้านและบานกระจกตู้โชว์ ยังคงทิ้งร่องรอยรูกระสุนให้คนรุ่นหลังได้เห็นอีกด้วย

●   ได้เวลาเดินทางไปรับประทานอาหารกลางวันที่ร้าน เดอะ ระวีกัลยา ตั้งอยู่เลียบคลองผดุงกรุงเกษม เขตเทเวศร์ จากประวัติความเป็นมา เดิมสถานที่แห่งนี้เป็นเรือนพักอาศัยของพระนมทัต พึ่งบุญ ณ อยุธยา เป็นพระนมในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 นำมาบูรณะใหม่ให้เป็นห้องพักและห้องอาหาร ที่ยังคงเอกลักษณ์ความเป็นไทยโบราณด้วยรูปทรงบ้านไม้ 2 ชั้น โทนสีเขียว-ขาว ล้อมรอบด้วยต้นไม้ใหญ่ โดยเฉพาะต้นไทรยักษ์ที่มีอายุกว่า 100 ปี ภายในห้องอาหารตกแต่งด้วยจิตรกรรมฝาผนัง มีการเพ้นท์ลวดลายต่างๆ ที่สื่อถึงสมัยโบราณ และมีการนำบทกลอนมาเขียนไว้ตามฝาผนังให้ได้อ่านเพลินๆ ช่วงเวลาที่รออาหาร

●   อิ่มหน่ำสำราญกันเต็มที่สมควรแก่เวลาเดินทางไปยังจุดหมายสุดท้ายของทริปนี้คือ นิทรรศน์รัตนโกสินทร์ ตั้งอยู่บนถนนราชดำเนินกลาง มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นศูนย์กลางเรียนรู้และแหล่งข้อมูลด้านประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรมในยุครัตนโกสินทร์ รูปแบบอาคาร 4 ชั้น มีจุดชมวิวในมุมสูงบนชั้น 4 ภายในอาคารจัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับรัตนโกสินทร์ ด้วยเทคโนโลยีทันสมัย มีทั้งสื่อจัดแสดง หุ่นจำลอง การเสนอสื่อเสมือนจริง 4 มิติ สื่อมัลติทัช มัลติมีเดียแอนิเมชั่น แบบ Interactive Self-learning โดยแบ่งการจัดแสดงนิทรรศการเป็น 9 ห้อง ตลอดจนเปิดบริการห้องสมุด ร้านค้าจำหน่ายของที่ระลึก

●   การเข้าชมเลือกได้ทั้ง 2 เส้นทาง ตามความต้องการและความเหมาะสมของเวลา โดยแต่ละเส้นทางใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง เปิดให้เข้าชมทุกวันอังคาร-วันศุกร์ เวลา 10.00-19.00 น. รอบเข้าชมทุกๆ 20 นาที ตั้งแต่เวลา 10.00-17.00 น.ราคาบัตร 100 บาท ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ สำหรับเด็กที่มีความสูงไม่เกิน 120 เซนติเมตร ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ นักเรียน/นักศึกษา (ไม่เกินระดับปริญญาตรี และศึกษาอยู่ในประเทศไทย) ผู้สูงอายุชาวไทย ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ภิกษุ สามเณร และผู้พิการ เข้าชมฟรี   ●

ขอบคุณ บริษัท ฮุนได มอเตอร์ (ไทยแลนด์) จำกัด อำนวยความสะดวกตลอดการเดินทาง


Hyundai H-1 and Grand Starex 2017 Trip