February 15, 2017
Motortrivia Team (10196 articles)

BOSCH เตรียมลงทุน 300 ล้านยูโรพัฒนาเทคโนโลยี AI โดยเฉพาะ


Press Release

 

●   กลุ่มบริษัทบ๊อชยังคงเพิ่มยอดขายได้ในปี 2559 โดยจากตัวเลขเบื้องต้นพบว่า ปี 2016 บ๊อชมียอดขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.5 เป็น 73.1 พันล้านยูโร และเมื่อปรับผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนแล้ว อัตราการเติบโตของยอดขายจะอยู่ที่ร้อยละ 5.4 โดยยอดขายของกลุ่มได้รับผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน คิดเป็นประมาณ 1.3 พันล้านยูโร

●   “แม้ว่าสถานการณ์จะไม่ค่อยเอื้ออำนวยนัก แต่เราก็ยังสามารถเพิ่มอัตราการเติบโตได้ตามที่คาดการณ์สำหรับปี 2559”  ดร. โฟล์คมาร์ เดนเนอร์ (Volkmar Denner) ประธานกรรมการกลุ่มบริษัทบ๊อชกล่าว “บ๊อชกำลังอยู่ในช่วงการเปลี่ยนผ่านรูปแบบของเทคโนโลยีขั้นพื้นฐานที่สำคัญที่สุดเท่าที่เคยมีมาไม่ว่าจะในแวดวงอุตสาหกรรม ตลาดต่างๆ หรือด้านเทคโนโลยี บ๊อชกำลังสร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นอย่างจริงจัง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โซลูชั่นแห่งการเชื่อมต่อเข้าไปเกี่ยวข้องกับทุกสิ่ง ไล่ไปจนถึงเทคโนโลยี IoT และเปลี่ยนผ่านไปสู่เทคโนโลยียานยนต์พลังงานไฟฟ้า (Electromobility) ซึ่งบ๊อชลงทุนไปแล้วหลายพันล้านยูโร และในปี 2559 บริษัทได้เพิ่มงบการวิจัยและพัฒนาเป็นประมาณ 6.6 พันล้านยูโร”


ดร. โฟล์คมาร์ เดนเนอร์ ประธานกรรมการกลุ่มบริษัทบ๊อช


●   ดร. สเตฟาน อเซ็นเคอสช์เบาเออร์ (Stefan Asenkerschbaumer) ซีเอฟโอและรองประธานบริษัทอธิบายว่า “ผลงานที่เราทำได้สำเร็จในทุกวันนี้ จะเป็นแหล่งเงินทุนที่สำคัญเพื่อความสำเร็จในวันข้างหน้า”

●   ในปี 2016 บ๊อชในฐานะผู้นำการผลิตและจัดจำหน่ายเทคโนโลยีและบริการชั้นนำของโลก มีรายได้จากการดำเนินงานก่อนหักดอกเบี้ยและภาษี (EBIT จากการดำเนินงาน) ราว 4.3 พันล้านยูโร โดยบ๊อชมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้ผลิตเทคโนโลยี IoT ชั้นนำ และเล็งเห็นโอกาสทองในธุรกิจที่เกี่ยวกับผู้ช่วยดิจิทัลอัจฉริยะ

●   “เทคโนโลยี IoT กลายเป็นเรื่องใกล้ตัวขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งได้ปัญญาประดิษฐ์หรือ AI เข้ามา ยิ่งทำให้เราพัฒนาโซลูชั่นแห่งการเชื่อมต่อต่างๆ ให้เข้ากับความต้องการของแต่ละบุคคลได้”  ด้วยเหตุนี้ บ๊อชจึงลงทุนกว่า 300 ล้านยูโรในการสร้างศูนย์ปัญญาประดิษฐ์แห่งใหม่ ซึ่งจะเป็นบทสรุปให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี IoT


ดร. สเตฟาน อเซ็นเคอสช์เบาเออร์ ซีเอฟโอและรองประธานบริษัท


ลงทุน 300 ล้านยูโรสำหรับศูนย์ปัญญาประดิษฐ์แห่งใหม่
●   ในปีนี้ เราจะได้เห็น ศูนย์ปัญญาประดิษฐ์ (BCAI – Bosch Center for Artificial Intelligence) แห่งใหม่ของบ๊อชเริ่มดำเนินงาน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาความเชี่ยวชาญทางด้านปัญญาประดิษฐ์

●   “ด้วยเทคโนโลยีเซ็นเซอร์ ทำให้บ๊อชสามารถสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ที่จับความรู้สึกได้ และตอนนี้บ๊อชก็ทำให้มันเรียนรู้และทำอะไรฉลาดๆ ได้”  ดร. เดนเนอร์ ผู้รับผิดชอบด้านการวิจัยและวิศวกรรมขั้นสูงในฐานะคณะกรรมการบริหารของบ๊อช กล่าว “ภายใน 10 ปีนับจากนี้ แทบจะไม่มีผลิตภัณฑ์ของบ๊อชชิ้นไหนที่ไม่เป็นปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งอาจจะเป็นอุปกรณ์ที่มีความฉลาดในตัวของมันเอง หรือมี AI เป็นส่วนสำคัญในขั้นการพัฒนาหรือการผลิต”

●   ศูนย์ BCAI จะเริ่มว่าจ้างทีมผู้เชี่ยวชาญราว 100 ตำแหน่งในอินเดีย (เบงกาลูรู) สหรัฐอเมริกา (พาโล อัลโต) และเยอรมนี (เรนนิงเกน) บ๊อชจะลงทุนขยายศูนย์ฯ แห่งนี้รวม 300 ล้านยูโร และจะเพิ่มจำนวนพนักงานให้มากกว่าปัจจุบันอีกหลายเท่า ภายในปี 2564

ผู้ช่วยดิจิทัลอัจฉริยะ: ตลาดที่มีค่าหลายพันล้านยูโร
●   สำหรับบ๊อช การพัฒนาเทคโนโลยี IoT ให้ตอบสนองความต้องการของแต่ละคนนับเป็นอีกระดับโซลูชั่นการเชื่อมต่อ “บ๊อชจะใช้ AI เปลี่ยนสิ่งต่างๆ ให้กลายเป็นผู้ช่วยอัจฉริยะ สุดท้ายแล้ว ผลิตภัณฑ์ต่างๆ จะกลายเป็นคู่หู เพื่อนที่รู้ใจ และผู้ช่วยส่วนตัวของเรา”  ดร. เดนเนอร์ กล่าว

●   บริษัทวิจัยตลาด Tractica ประมาณการว่าจำนวนคนที่ใช้ผู้ช่วยดิจิทัลจะเพิ่มขึ้นในอัตรามากกว่าร้อยละ 350 ภายในปี 2564

●   “ผู้ช่วยดิจิทัล (digital assistants) คือ อินเทอร์เฟซสำหรับลูกค้า และด้วยผลิตภัณฑ์ที่เชื่อมต่อกันได้ บ๊อชก็จะสามารถรักษาความสัมพันธ์โดยตรงกับลูกค้าไว้ได้ ยิ่งเรารู้ใจลูกค้าแต่ละคนได้มากขึ้นเพียงใด เราก็ยิ่งสามารถจัดบริการที่เหมาะกับแต่ละคนให้ได้ดีขึ้นเท่านั้น”

●   หนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่บ๊อชภูมิใจนำเสนอในการแสดงนวัตกรรม CES 2017 ที่ลาสเวกัสคือ หุ่นยนต์ประจำบ้าน Kuri ซึ่งในเรื่องการพัฒนาหุ่นยนต์นั้น บ๊อชเน้นไปที่การตอบสนองความต้องการของแต่ละคน ซึ่งก็คือการทำให้หุ่นยนต์สามารถโต้ตอบกับมนุษย์ได้ นอกจากนี้ บริษัทยังได้แนะนำ Mykie หรือผู้ช่วยที่ได้รับการออกแบบให้เหมาะกับความต้องการต่างๆ ในห้องครัวอัจฉริยะ

●   ตัวอย่างเช่น Mykie รู้ว่ามีอะไรเก็บไว้ในตู้เย็นบ้าง และสามารถเขียนรายการซื้อของได้เองโดยอัตโนมัติ และยังช่วยในการทำครัวได้ ในงาน CES บ๊อชยังได้นำรถยนต์ต้นแบบออกมาโชว์ชิมลาง โดยแสดงให้เห็นว่าผู้ช่วยส่วนตัวสำหรับยานยนต์นั้นจะเป็นอย่างไร จากการศึกษาร่วมกันระหว่างบ๊อชและ พร็อกนอส (Procnos) ชี้ให้เห็นว่ายานยนต์ที่สามารถเชื่อมต่อกับสิ่งต่างๆ จะช่วยทำให้คนมีเวลาพักและใช้เวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นเกือบ 100 ชั่วโมงต่อปี

อนาคตของโซลูชั่นแห่งการขับเคลื่อน: Vision Zero
●   ปลอดกังวล ปลอดอุบัติภัย และปลอดการปล่อยมลพิษ: นี่คือวิสัยทัศน์ของบ๊อชที่มีต่อการจราจรแห่งอนาคต “อุบัติเหตุเป็นศูนย์ การปล่อยสารมลพิษเป็นศูนย์ และความเครียดเป็นศูนย์ คือเป้าหมายหลักของเราสำหรับโซลูชั่นการขับเคลื่อนแห่งอนาคต”  ดร. เดนเนอร์ กล่าว

●   ในทางเทคโนโลยีแล้ว สิ่งเหล่านี้หมายถึง การขับขี่อัตโนมัติ (automation) ระบบขับเคลื่อนไฟฟ้า (electrification) และ การเชื่อมต่อ (connectivity) “เราจะมุ่งมั่นในการคิดค้นสิ่งใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นแก่แวดวงโซลูชั่นแห่งการขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่อง บ๊อชจะยังเป็นผู้นำในฐานะผู้ผลิตระดับโลกด้านโซลูชั่นแห่งการขับเคลื่อน รวมทั้งเทคโนโลยียานยนต์พลังงานไฟฟ้า”

●   ปัจจุบัน บ๊อชกำลังวิจัยเชิงลึก โดยหวังว่าจะเกิดการค้นพบครั้งใหม่เกี่ยวกับเทคโนโลยีแบตเตอรี ที่จะทำให้การขับขี่ด้วยพลังงานไฟฟ้ามีราคาที่ทุกคนเอื้อมถึง บริษัทได้จัดตั้งศูนย์วิจัยด้านแบตเตอรีที่ฟอยเออร์บาค ในเมืองสตุ๊ตการ์ต เพื่อรวมงานพัฒนาด้านเซลล์แบตเตอรี และแบตเตอรีแพ็ค เข้ามาไว้ที่นี่ ปัจจุบันมีทีมงานกว่า 300 คนที่ทำงานร่วมกับนักวิจัยแบตเตอรี เพื่อเทคโนโลยีเซลล์แบตเตอรีในอนาคต ให้พร้อมรองรับการผลิตในเชิงอุตสาหกรรม

ผลประกอบการทางธุรกิจปี 2016 แยกตามประเภทธุรกิจ
●   ผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนส่งผลต่อยอดขายแตกต่างกันไปตามรูปแบบการดำเนินธุรกิจ “หลังจากการปรับผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนแล้ว ยอดขายของทุกภาคธุรกิจต่างๆ เพิ่มขึ้น ยกเว้นเทคโนโลยีอุตสาหกรรม บางภาคธุรกิจมียอดขายสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ”  ดร. อเซ็นเคอสช์เบาเออร์ กล่าว

●   ในปี 2016 ภาคธุรกิจโซลูชั่นแห่งการขับเคลื่อนเติบโตในอัตราร้อยละ 5.5 ซึ่งแข็งแกร่งกว่าธุรกิจการผลิตยานยนต์ทั่วโลก หลังจากที่ได้ปรับผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนแล้ว อัตราการเติบโตที่แท้จริงจะอยู่ที่ร้อยละ 7 ทั้งนี้จากตัวเลขเบื้องต้น ยอดขายมีมูลค่าราว 44 พันล้านยูโรในปี 2016 บ๊อชได้สร้างสถิติใหม่ในธุรกิจระบบฉีดเชื้อเพลิงแก๊สโซลีน (gasoline injection systems) โดยสามารถขายหัวฉีดแรงดันสูง (high-pressure injectors) ชนิดต่างๆ กว่า 250 ล้านเครื่อง โดยประสบความสำเร็จอย่างสูงกับระบบช่วยเหลือผู้ขับ (driver-assistance) และระบบอินโฟเทนเม้นต์

●   ในปี 2559 ภาคธุรกิจสินค้าเพื่อผู้บริโภค มียอดขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.8 เป็น 17.7 พันล้านยูโร โดยเมื่อปรับผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนแล้ว การเติบโตที่แท้จริงเท่ากับร้อยละ 6.2 โดยทั้งกลุ่มเครื่องมือไฟฟ้าและในส่วนของ บริษัท บีเอสเอช เฮาส์เกเรท จีเอ็มบีเอช จำกัด (BSH Hausgerate GmbH) ถือเป็นธุรกิจที่เป็นตัวแทนสะท้อนภาพของธุรกิจแห่งการเชื่อมต่อในปี 2559 ได้เป็นอย่างดี

●   ยอดขายของกลุ่มเทคโนโลยีพลังงานและอาคารในปี 2559 เติบโตร้อยละ 0.8 (หรือร้อยละ 3.2 หลังปรับผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนแล้ว) คิดเป็นมูลค่ารวม 5.2 พันล้านยูโร ส่วนธุรกิจเทคโนโลยีระบบความร้อน (Thermotechnology) ระบบรักษาความปลอดภัย และโซลูชั่นการบริการ ต่างมียอดขายที่ดีขึ้นกว่าเดิมมาก เมื่อมีโซลูชั่นแห่งการเชื่อมต่อเข้ามาประกอบ อาทิ ระบบทำความร้อนอัจฉริยะ เทคโนโลยีด้าน VDO รวมถึงการบริการต่างๆ อาทิ บริการฉุกเฉิน eCall และการบริการผู้ช่วยส่วนตัว

●   สำหรับธุรกิจเทคโนโลยีด้านอุตสาหกรรม มียอดขายลดลงร้อยละ 5.1 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมียอดขายรวม 6.3 พันล้านยูโร และเมื่อปรับผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนแล้ว ยอดขายจะลดลงร้อยละ 4.5 ปัจจัยที่ส่งผลมากที่สุดคือ พัฒนาการในตลาดต่างๆ เช่น จีน รัสเซีย และบราซิล ที่ยังคงมีความท้าทายต่อธุรกิจเทคโนโลยีระบบขับเคลื่อนและควบคุม ส่วนด้านธุรกิจเทคโนโลยีบรรจุภัณฑ์ ปี 2559 ยังคงถือว่าใกล้เคียงกับปีก่อนหน้า

ผลประกอบการทางธุรกิจปี 2559 แยกตามภูมิภาค
●   ทวีปยุโรป : แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการทางธุรกิจในเชิงบวกสำหรับกลุ่มบริษัทบ๊อชในปี 2016 ในภูมิภาคนี้ บ๊อชในฐานะผู้ผลิตเทคโนโลยีและการบริการต่างๆ สามารถเพิ่มยอดขายได้ถึงร้อยละ 3.4 (หรือร้อยละ 4.8 หลังปรับผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน) คิดเป็นยอดขายรวม 38.6 พันล้านยูโร

●   ทวีปอเมริกาเหนือ : มียอดขาย 12.4 พันล้านยูโร ถือว่าเป็นระดับที่ใกล้เคียงกับปีก่อนหน้า คิดเป็นอัตราที่ลดลงเล็กน้อยเพียงร้อยละ 2 หรือร้อยละ 1.8 หลังปรับผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน

●   ทวีปอเมริกาใต้ : กลุ่มบริษัทบ๊อชมียอดขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.1 หลังปรับผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน หากไม่ปรับผลกระทบ ยอดขายลดลงร้อยละ 5.7 เป็น 1.3 พันล้านยูโร

●   เอเชียแปซิฟิกรวมถึงแอฟริกา : บ๊อชมียอดขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 12 หลังปรับผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งพบว่าตัวเลขก่อนปรับผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนมีอัตราการเติบโตของยอดขายเท่ากับร้อยละ 8.1 หรือคิดเป็น 20.8 พันล้านยูโร

บุคลากรในเอเชียแปซิฟิก ยุโรปกลาง ยุโรปตะวันออก และเยอรมนี
●   ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2016 กลุ่มบริษัทบ๊อชทั่วโลกมีพนักงานรวม 390,000 คน ซึ่งเพิ่มขึ้นประมาณ 15,000 คนในปี 2016 โดยมีการรับพนักงานใหม่ในเอเชียแปซิฟิก ยุโรปกลางและตะวันออกเป็นส่วนใหญ่ ส่วนในเยอรมนี มีพนักงานเพิ่มขึ้น 2,100 คน

ประมาณการปี 2017 อัตราเติบโตปานกลาง ความผันผวนมากขึ้น
●   สำหรับปี 2017 บ๊อชคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจโลกจะมีอัตราการเติบโตปานกลางที่ร้อยละ 2.3 ผู้ผลิตเทคโนโลยีและบริการต่างๆ อย่างบ๊อชเล็งเห็นถึงความเสี่ยงต่างๆ ทางเศรษฐกิจ โดยมีปัจจัยเด่นทางการเมืองในสหรัฐฯ และยุโรป

●   ปี 2017 นี้ บ๊อชจึงยังคงมุ่งรักษาอัตราการเติบโตทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง และมุ่งขยายตัวให้ได้เร็วกว่ากิจการอื่นในแต่ละตลาด บ๊อชต้องการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันและอัตราการทำกำไรของทุกภาคธุรกิจได้ดียิ่งๆ ขึ้นไปในอนาคต

●   สนใจข้อมูลเพิ่มเติมเชิญได้ที่ www.bosch.co.th   ●